ทฤษฎีกดจุด

การกดจุดสำหรับกรณีฉุกเฉิน

อารัมภบท

          ธรรมชาติสร้างจุดต่างๆ มากกว่า 833 จุดทั่วร่างกายมนุษย์  เพื่อให้ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้  นับเป็นเวลานานหลายพันปีมาแล้ว  ชาวจีนใช้เข็มแทงกระตุ้นจุดเหล่านี้  เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้หายได้อย่างน่ามหัศจรรย์  เรียกจุดเหล่านี้ว่าจุดแทงเข็มหรือฝังเข็ม (Acupuncture Points)   ต่อมาพบว่าการกดที่จุดดังกล่าว ให้ผลในการรักษาเหมือนกันกับการแทงด้วยเข็ม ปกติแล้วใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือส่วนที่อยู่ใต้เล็บกด และเรียกจุดเหล่านี้ว่า จุดกด ( Acupressure Points) ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับจุดฝังเข็มนั่นเอง  ต่างจากการฝังเข็มการกดจุดไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น  การฝังเข็มต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ  มิฉนั้นอาจเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้   ข้อดีอย่างยิ่งของการกดจุดมีดังนี้คือ

1) เนื่องจากไม่มีอันตรายใดๆ  ผู้ป่วยสามารถกดจุดรักษาตัวเองได้อย่างง่ายดาย และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ  ตัวอย่างเช่น  ในการกดจุดรักษาโรคความดันโลหิตสูง  เมื่อกดจุดรักษาความดันโลหิตลดลงจนถึงระดับที่เหมาะสม  และจะหยุดลดลงอีก   แม้ว่ายังมีการกดจุดต่อไปอีก  มิใช่ว่าความดันโลหิตจะลดลงไปเรื่อยๆ จนความดันต่ำกว่าปกติ  เป็นต้น

2) ส่วนใหญ่แล้วการกดจุดรู้ผลในการรักษาทันที  ตัวอย่างเช่น  (ก) ในกรณีของนิ้วแข็ง( นิ้วล็อค )  งอไม่ได้  เพียงกดที่จุดๆ หนึ่งที่โคนนิ้วนั้น  เพียงพริบตาเดียว  อาการนิ้วล็อคจะหายไป  สามารถงอได้เป็นปกติ   สิ่งนี้ต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบัน  ซึ่งใช้การผ่าตัดเล็กๆ ที่ใต้โคนนิ้ว   (ข) อาการปวดศีรษะหลายรูปแบบ  เช่น ปวดบริเวณขมับ  ปวดบริเวณท้ายทอย  ปวดบริเวณหน้าผาก  ปวดร้าวทั่วศีรษะ เป็นต้น  สามารถกดจุดรักษาให้หายได้ภายในพริบตา  นอกจากนี้การปวดศีรษะแบบไมเกรนก็สามารถรักษาได้ด้วยการกดจุดเช่นกัน  เป็นต้น

3) ในการกดจุดรักษาโรคใดโรคหนึ่งโดยใช้จุดกดชุดหนึ่ง  ถ้าโรคยังไม่หาย  มิได้หมายความว่าการกดจุดไม่สามารถรักษาโรคนั้นได้  ควรใช้ตำรากดจุดชุดอื่นๆ  โดยครูบาอาจารย์ท่านอื่นลองกดรักษาดู

การวัดระยะ

ในการหาตำแหน่งของจุดกด( Acupressure Point )   ใช้ ‘ ซุ่น ‘ เป็นหน่วยสำหรับวัดระยะ  ซุ่นมีค่าความยาวต่างกันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

1)      การวัดระยะบนแขนหรือขา  1 ซุ่นมีความยาวเท่ากับความยาวของข้อกลางของนิ้วกลางของผู้ป่วย ดังรูปที่ 1ก.  หรือเท่ากับความกว้างของนิ้วหัวแม่มือของผู้ป่วย ดังรูปที่ 1ข.  โดยทั่วไปเริ่มต้นอาจใช้ค่านี้ของซุ่นเป็นค่าประมาณสำหรับวัดระยะต่างๆทั่วร่างกาย หลังจากนั้นค่อยๆ ขยับเล็กน้อย  เพื่อปรับแก้ให้ตรงจุดที่ต้องการ

กดจุด 1

1)      การวัดระยะบนศีรษะในแนวจากด้านหน้า ส่วนบนและด้านหลังของศีรษะ  ความยาว 1 ซุ่น แตกต่างจากข้อ 1)  พอสรุปได้ดังต่อไปนี้คือ

(1)   ในแนวของเส้นกึ่งกลางศีรษะ ซึ่งแบ่งศีรษะออกเป็นด้านซ้ายและด้านขวาเท่าๆ กัน  จากตีนผมด้านหน้าถึงตีนผมด้านหลัง  ความยาวเท่ากับ 12 ซุ่น  ดังรูปย่อยบนขวาของรูปที่ 2  สำหรับผู้ป่วยที่ศีรษะล้านให้วัดจากจุดกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วถึงตีนผมด้านหลัง  ระยะทางที่ได้คือ 15 ซุ่น  ซึ่งหมายความว่าหน้าผากกว้าง 3 ซุ่นนั่นเอง

กดจุด 2

(1)   ระยะทางจากตีนผมด้านหน้าถึงรอยต่อระหว่างกระดูกสันหลังคอข้อที่ 7 ( C7 )กับกระดูกสันหลังส่วนอกข้อที่ 1 ( T1 ) เท่ากับ 15 ซุ่น   รอยต่อระหว่าง C7 กับ T1 หาได้ดังนี้  เมื่อก้มศีรษะลง  ตรงโคนคอด้านหลังจะมีกระดูกนูนขึ้นมา  วัดจากตีนผมตรงท้ายทอยลงมา 3 ซุ่นตามนิยามในข้อ 1)  ซึ่งอยู่ตรงกลางในแนวดิ่งของกระดูกที่นูนชึ้นมา  เป็.นรอยต่อระหว่าง C7 กับ T1 ที่ต้องการ  ดังนั้นระยะทางจากตีนผมด้านหลังถึงรอยต่อระหว่าง C7 กับ T1 เท่ากับ 3 ซุ่น  ในกรณีที่ตีนผมด้านหลังไม่เรียบร้อย เช่น แหว่งๆ เว้าๆ เป็นต้น  ให้วัดระยะจากตีนผมด้านหน้าถึงปลายขอบล่างของกระโหลกศีรษะด้านหลัง  เป็นระยะทางเท่ากับ 11 ซุ่น

1)      การวัดระยะในแนวขวางบนใบหน้าและศีรษะ  ให้ใช้หน่วย ‘ ซุ่น ‘ ซึ่งแสดงไว้บนศีรษะดังปรากฏในรูปที่ 2

1)      การวัดระยะบนอกส่วนบน ถือว่ากระดูกซี่โครงแต่ละซี่อยู่ห่างกัน 1.6 ซุ่น

2)      การวัดระยะตามลำตัวในแนวขวาง ให้ใช้นิยามของซุ่นดังนี้คือ  ระยะห่างระหว่างหัวนมซ้ายกับหัวนมขวามีค่าเท่ากับ 8 ซุ่น  ดูรูปที่ 2

3)      การวัดระยะบริเวณหน้าท้อง ให้ใช้นิยามของซุ่นดังต่อไปนี้  ดูรูปที่ 2 ประกอบด้วย

(ก)   ระยะจากส่วนล่างสุดของลิ้นปี่ถึงจุดกึ่งกลางของสะดือเท่ากับ 8 ซุ่น

(ข)   ระยะจากจุดกึ่งกลางของสะดือถึงขอบบนของกระดูกหัวหน่าว( Pubic bone) เท่ากับ 5 ซุ่น

4)      การวัดระยะเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง  ใช้วิธีนับช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังโดยการแบ่งกระดูกสันหลังออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน ดังตารางข้างล่าง

                  ส่วนของกระดูกสันหลัง                      จำนวนข้อ
  1 กระดูกสันหลังส่วนคอ( Cervical Vertebrae )                   7
   2 กระดูกสันหลังส่วนอก( Thoracic Vertebrae )                  12
  3 กระดูกสันหลังส่วนเอว( Lumbar Vertebrae )                   5
  4 กระดูกสันหลังส่วนเชิงกราน( Sacral Vertebrae )         5 บางส่วนติดกัน
  5 Coccyx แบ่งออกเป็น 4 ส่วน( Segments)

1)      การวัดระยะบนหลังในแนวขวาง( ตั้งฉากกับแนวดิ่ง )

(1)   ใช้นิยามของซุ่นดังนี้คือ  เมื่อต้นแขนทั้งสองอยู่แนบข้างลำตัวดังรูปที่ 2  ระยะห่างระหว่างสะบักเท่ากับ 6 ซุ่น  ยกเว้นกรณีของข้อ (2)ข้างล่างนี้

(2)    สำหรับการวัดระยะห่างจากแนวกึ่งกลางของกระดูกสันหลังของจุดต่างๆ บนเส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะ ( Bladder Meridian )  ให้หาด้วยวิธีดังต่อไปนี้  ให้ใช้ปลายเล็บมือเคลื่อนที่ไปตามแนวขวางของแผ่นหลัง  เริ่มจากจุดบนแนวกึ่งกลางของกระดูกสันหลัง  ไปตามผิวหนังของแผ่นหลัง  แอ่งกล้ามเนื้อแรกที่พบ อยู่ห่างจากแนวกึ่งกลางของกระดูกสันหลังเท่ากับ 1.5 ซุ่น  แอ่งกล้ามเนื้อที่สองซึ่งพบถัดไป  อยู่ห่าง 3 ซุ่น  ตามลำดับ

ตัวอย่าง ระยะห่างระหว่างรอยพับข้อมือกับรอยพับที่ข้อศอกของชายคนหนึ่งเท่ากับ 23 เซ็นติเมตร  อยากทราบว่าความยาว 1 ซุ่นบนแขนของชายผู้นี้ยาวกี่เซ็นติเมตร

จากรูปที่ 2  ระยะห่างระหว่างรอยพับข้อมือกับรอยพับที่ข้อศอกมีค่าเท่ากับ 12 ซุ่น  ดังนั้นความยาว 1 ซุ่นคิดเป็นเซ็นติเมตรได้เท่ากับ 23/12 = 1.9 เซ็นติเมตร   เมื่อวัดความยาวของข้อกลางของนิ้วกลางของชายผู้นี้ หรือวัดความกว้างของนิ้วหัวแม่มือได้ 1.9 เซ็นติเมตรเท่ากัน   แสดงให้เห็นว่า  โดยประมาณเราสามารถใช้ความยาวของข้อกลางของนิ้วกลาง หรือความกว้างของนิ้วหัวแม่มือแทนความยาว 1 ซุ่นได้เลยโดยไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยาก  นอกจากนี้เราสามารถใช้ซุ่นตามนิยามในข้อ 1)  ยกเว้นในกรณีของข้อ 2)  เป็นค่าประมาณในการวัดระยะหาตำแหน่งของจุดกด  โดยปรับตำแหน่งสุดท้ายเล็กน้อย 

แรงที่ใช้ในการกดจุด

ยกเว้นในกรณีที่จุดที่อยู่ลึกลงไปจากผิวหนังมากๆ  แรงที่ใช้ในการกดจุดไม่จำเป็นต้องมาก  ออกแรงกดเพียงแค่ให้ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีลมปราณเดินเท่านั้น  ผู้ป่วยมี 2 ประเภทตือ

(1)   ผู้ป่วยที่มีความรู้สึกไว  เมื่อถูกกดตรงจุดกดพอดี  จะมีความรู้สึกว่ามีอาการชาหรือตื้อๆ วิ่งออกไปจากจุดกด  เรียกอาการนี้ว่า ‘ ลมปราณ ‘

(2)   ผู้ป่วยที่มีความรู้สึกไม่ไว  เมื่อถูกกดตรงจุดกดพอดี  จะรู้สึกเจ็บหรือปวดตื้อๆ มากกว่าจุดอื่นๆ โดยรอบที่มิใช่จุดกด  ดังนั้นในกรณีนี้เราเลือกจุดที่กดแล้วเจ็บที่สุด

เคล็ดลับในการกดจุด

(1)   เพื่อให้ได้ผลดีในการกด ณ จุดใดจุดหนึ่ง  ถ้าทำได้( ดูข้อยกเว้นในข้อ (2) )  ต้องยืดกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นตรงบริเวณจุดนั้นให้ตึงก่อนเสมอ  ตัวอย่างเช่น  (1)จุดชิฉือ( BL-11 )ซึ่งอยู่ใกล้ปลายนอกของรอยพับข้อศอกด้านหน้าแขน  เมื่อต้องการกดจุดชิฉือ  ควรเหยียดแขนออกไปให้ตรงก่อน  (2)จุดหวนเที่ยว( GB-30 )ซึ่งอยู่บริเวณสะโพก  กล้ามเนื้อบริเวณจุดนี้ทำให้ตึงได้ด้วยการชันเข่าขึ้นมาให้หัวเข่าอยู่ใกล้หน้าท้องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เป็นต้น

(2)   ในการกดจุดเน่ยกวาน( PC-6 )ซึ่งอยู่ด้านฝ่ามือ เหนือรอยพับข้อมือไปทางข้อศอก 2 ซุ่น ใต้เอ็น 2 เส้น   ถ้ายืดกล้ามเนื้อบริเวณนี้ให้ตึง  เอ็นทั้ง 2 เส้นนี้จะกั้นมิให้นิ้วที่ใช้กดจุดลงไปถึงจุดเน่ยกวานได้  ดังนั้นในกรณีนี้จึงจำเป็นที่จะต้องให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหย่อน

การรมจุดด้วยความร้อน( Moxibustion )

          การใช้ความร้อนรมจุดเป็นวิธีที่สำคัญวิธีหนึ่งที่ช่วยให้การรักษาบรรลุผลดีได้  อาจใช้ธูปขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มิลลิเมตร  ที่ติดไฟแล้ว( ไม่มีเปลวไฟ )เป็นแหล่งให้ความร้อน  ให้ปลายธูปอยู่ห่างจากจุดที่จะกดประมาณ 1 ซ.ม.  ปรับระยะห่างบ่อยๆ เพื่อมิให้ผู้ป่วยรู้สึกร้อนเกินไป  การจับธูปให้ทำเหมือนกับการจับปากกาเขียนหนังสือ  กล่าวคือจับธูประหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้  ส้นมือวางอยู่ใกล้บริเวณที่จะกดจุด  ทั้งนี้เพื่อมิให้ปลายธูปที่กำลังติดไฟอยู่ถูกตัวผู้ป่วย  ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของผู้กดจุดที่ว่างอยู่  ให้จับส่วนอื่นของร่างกายของผู้ป่วย  เพื่อมิให้ขยับเขยื้อนมาสัมผัสกับธูป  มีข้อควรระวังดังต่อไปนี้ (ก)เพราะว่าควันธูปอาจมีสารที่อาจเป็นพิษต่อร่างกาย  ให้ใช้พัดลมเป่าลมอ่อนๆ เฉียดๆ ธูป  เพื่อพาควันธูปออกไป  (ข)หมั่นเคาะเอาขี้ธูปออก  เพื่อป้องกันขี้ธูปร้อนๆหล่นถูกผู้ป่วย (ค)ถ้าทำได้  ให้จัดตำแหน่งของธูปและจุดที่จะกดในลักษณะที่ว่าขี้ธูปหรือลูกไฟไม่หล่นถูกผู้ป่วย  และ(ค)หมั่นใช้กรรไกรตัดถ่านซึ่งมาจากแกนกลางของธูปออก รวมทั้งตัดธูปส่วนที่ติดไฟที่ยาวเกินไปออก  เพื่อป้องกันไม่ให้หลุดและหล่นถูกผู้ป่วย

มีจุดหลายจุดที่ห้ามการใช้ความร้อนรม ดังตารางข้างล่างนี้

ตารางที่1 แสดงจุดที่ห้ามใช้ความร้อนรม

ลำดับที่                        จุดที่ห้ามใช้ความร้อนรม    รายละเอียดเพิ่มเติม
    1 จิงหมิง( BL-1 )             จันจู๋( BL-2 )              ถงจื่อเหลียว( GB-1)ซีหยางกวาน( GB-33 )   หย่าเหมิน( GV-15 )   ซ่างซิง( GV-23 )ซู่เหลียว( GV-25 )          อินเจียว( GV-28 )      อิ๋งเซี้ยง( LI-20 )ฉื่อเจ๋อ( LU-5 )               จิงฉี( LU-8 )              ซ่าวซาง( LU-11 )จงชง( PC-9 )                 ซือจู๋คง( TW-23 )       อวี่เอี่ยว( XF-4 )XFi-4                          Pie Yen( XF-5 )    Jia-Cheng Jiang(XF-6)

Hai Chuen( XF-7 )

 
ลำดับที่                      จุดที่ห้ามใช้ความร้อนรม     รายละเอียดเพิ่มเติม
     2 กวานหยวน( CV-4 )           เจี้ยนหลี่( CV-11) สตรีระหว่างตั้งครรภ์
     3 มิ่งเหมิน( GV-4 ) ทำให้หมดสมรรถภาพในชายอายุอ่อนกว่า 20 ปีและในชายที่มีร่างกายแข็งแรง อายุระหว่าง 20-25 ปี
     4 เจียนอวี่( LI-15 )  ห้ามให้ความร้อนนานเกิน 35 วินาที  มิฉนั้นกล้ามเนื้อแขนท่อนบนอาจลีบ
      5 เฟิงฝู่( GV-16 ) ทำให้ลิ้นเป็นอัมพาต พูดไม่ได้
      6 ต้าตู( SP-2 ) ช่วงตั้งครรภ์และช่วงหลังคลอด 3 เดือน
      7 โถวเหว่ย( ST-8 ) ทำให้ตาบอด
      8 กวานหยวน( CV-4 ) กรณีที่ใช้จุด CV-4 รักษาอาการฝันเปียก
     9 เถาหลินซี่( GB-15 ) ทำให้ปวดศีรษะและตาบอด
    10 เหรินจง( GV-26 ) ทำให้ถึงแก่ความตายได้
    11 สื่อเหมิน( CV-5 ) ในสตรีห้ามฝังเข็มและรมด้วยความร้อน อาจทำให้เป็นหมันได้

เส้นลมปราณ( Meridians )

          เส้นลมปราณหลักทีทั้งหมด 14 เส้น   เส้นลมปราณ CV และ GVแต่ละเส้นมีเพียง 1 เส้น  กล่าวคือตรงกลางลำตัวด้านหน้าและกลางลำตัวด้านหลัง ตามลำดับ   เส้นลมปราณที่เหลืออีก 12 เส้น  แต่ละเส้นประกอบด้วยเส้นซ้ายมือ 1 เส้นและขวามือ 1 เส้น   จุดกด( Acupressure Points )ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับจุดฝังเข็ม( Acupuncture Points )  อยู่บนเส้นลมปราณทั้ง 14 เส้นนี้   นอกจากนี้ยังมีจุดอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งที่ไม่อยู่บนเล้นลมปราณดังกล่าว   เรียกว่าจุดพิเศษ( Extra Points )

(1)   BL = Bladder  Meridian = เส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะ

(2)   CV = Conception  Vessel Meridian = เส้นกลางตัวด้านหน้า( เริ่นม่าย )

(3)   GB = Gall Bladder Meridian = เส้นลมปราณถุงน้ำดี

(4)   GV = Govern Vessel Meridian= เส้นกลางตัวด้านหลัง( ตูม่าย )

(5)   HT = Heart Meridian = เส้นลมปราณหัวใจ

(6)   KI = Kidney Meridian = เส้นลมปราณไต

(7)   LI = Large Intestine Meridian = เส้นลมปราณลำไส้ใหญ่

(8)   LV = Liver Meridian = เส้นลมปราณตับ

(9)   LU = Lung Meridian = เส้นลมปราณปอด

(10)   PC = Pericardium Meridian = เส้นลมปราณเยื่อหุ้มหัวใจ

(11)  SI = Small Intestine Meridian = เส้นลมปราณลำไส้เล็ก

(12)   SP = Spleen Meridian = เส้นลมปราณม้าม

(13)   ST = Stomach Meridian = เส้นลมปราณกระเพาะอาหาร

(14)   TW = Triple Warmer Meridian = เส้นลมปราณซานเจียว

ความกตัญญูกตเวที

ตำรานี้เกิดจากพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุรพาจารย์ทั้งหลายที่มีเมตตากรุณาและไม่หวงวิชาความรู้  ดังนั้นควรแล้วที่ท่านทั้งหลายที่ได้ประโยชน์จากตำรานี้  จะแผ่เมตตาส่งบุญกุศลไปยังท่านเหล่านั้น  ทุกเมื่อที่ท่านประกอบการอันเป็นบุญกุศล   รวมทั้งการเผยแผ่ตำรานี้ออกไปให้กว้างขวางเพื่อยังประโยชน์ให้แก่คนจำนวนมาก

Leave a Reply